http://www.youtube.com/watch?v=hdDWLtcgqQA
http://www.youtube.com/watch?v=qPEuWC4X8Eg
ปฏิกิริยาระหว่างสารละลายโซเดียมไธโอซัลเฟตกับสารละลายกรดไฮโดรคลอริก
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี หมายถึง ปริมาณสารตั้งต้นที่หายไปต่อหนึ่งหน่วยเวลา หรือปริมาณผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นต่อหนึ่งหน่วยเวลา
อัตราเร็วเฉลี่ย หมายถึง อัตราเร็วโดยเฉลี่ย ตั้งแต่เริ่มต้น จนปฏิกิริยาเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น อัตราเร็วเฉลี่ยในช่วง 10 วินาที (หาได้จากการทดลอง)อัตราเร็ว ณ เวลาหนึ่ง หมายถึง อัตราเร็วของปฏิกิริยาที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง เช่น อัตราเร็ว ณ 10 วินาที (หาจากค่าความชันของกราฟระหว่างปริมาณสารกับเวลา)
การวัดอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีในการวัดอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี สามารถหาได้จากสารทุกตัวในปฏิกิริยาเคมีแต่นิยมวัดตัวที่หาง่ายและสะดวก ด้วยวิธี เช่นวัดจากปริมาณก๊าซที่เกิดขึ้น ,วัดตะกอนที่เกิดขึ้นวัดการนำไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไป ,วัดความเข้มข้นที่เปลี่ยนแปลงไป วัดความเป็นกรด-เบสของสารละลาย ,วัดปริมาณสารที่เปลี่ยนแปลงไป วัดความดันที่เปลี่ยนแปลงไป ,วัดตะกอนที่เกิดขึ้น
การวัดอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
- จะวัดอย่างไงขึ้นอยู่กับความง่ายในการวัด
- ชั่งมวลดูว่าเพิ่ม/ลด เท่าไหร่ภายในเวลาที่กำหนด
- วัดปริมาตรที่เพิ่มขึ้น ถ้าปฏิกิริยา มี gas เกิดขึ้น
- วัดปริมาตรที่ลดลง ถ้าปฏิกิริยา มี gas เป็นสารตั้งตน และ productsที่ได้ไม่ใช่ gas- สำหรับระบบที่มี gas นอกจากวัด ปริมาตร เรายังวัด ความดัน ที่เกิดขึ้น หรือ ลดลงได้ แทนการวัดปริมาตร ซึ่งในบางครั้งทำได้ง่ายกว่า
- วัดสี หากปฏิกิริยาเป็นปฏิกิริยาที่มีสีเกี่ยวข้อง หมายความว่าเราอาจวัดการลดลง หรือ เพิ่มขึ้นของสีได้
(1) วัดปริมาณสารตั้งต้นที่เปลี่ยนไป เช่นในการทดลองของนักเรียนอาจความเข้มข้นของกรดไฮโดรคลอริก หรือมวลของโลหะ
(2) วัดปริมาณสารผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้น เช่นในการทดลองของนักเรียนอาจปริมาตรก๊าซ หรือความเข้มข้นของสารละลายเกลือที่เกิดขึ้น
(3) วัดความดันของระบบที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง
(4) วัดปริมาณตะกอนที่เกิดขึ้น ในกรณีผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นเป็นของแข็ง
(5) วัดความเข้มของสีที่เกิดขึ้น หรือหายไป
(6) วัดการนำไฟฟ้าของสาร
การเกิดปฏิกิริยาเคมี ทฤษฎีที่ใช้อธิบายปฏิกิริยาเคมี มีอยู่ 3 ทฤษฎีคือ
1. ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส ที่อุณหภูมิหนึ่งแก๊สที่มีความเร็วต่างกันจะมีพลังงานจลน์ต่างกัน แก๊สที่มีความเร็วต่ำจะมีพลังงานจลน์ต่ำ และแก๊สที่มีความเร็วสูงจะมีพลังงานจลน์สูงเมื่อชนกันจะมีพลังงานหลังการชนสูง จึงมีพลังงานมากพอที่จะใช้ในการสลายพันธะของสารตั้งต้นและสร้างพันธะของผลิตภัณฑ์จึงอเกิดปฏิกิริยาเคมีได้
2. ทฤษฎีการชน (The Collision Theory) ทฤษฎีนี้อธิบายว่าปฏิกิริยาเคมีจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่ออนุภาคของสารตั้งต้นต้องมาปะทะกันหรือมาชนกัน และการชนกันนั้นมีทั้งการชนที่ประสบผลสำเร็จ คือ สารตั้งต้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสารผลิตภัณฑ์และการชนที่ไม่ประสบผลสำเร็จ คือ ชนกันแล้วไม่เกิดสารผลิตภัณฑ์ การชนที่ประสบผลสำเร็จจะต้องประกอบด้วยปัจจัย 2 ประการ คือ ประการแรก อนุภาคของสารตั้งต้นจะต้องชนกันในแง่มุมและทิศทางที่เหมาะสมที่จะทำให้ปฏิกิริยาเกิดได้ ประการที่สอง อนุภาคของสารตั้งต้นต้องมีพลังงานสูงพอที่จะทำลายพันธะเก่าและสร้างพันธะใหม่ได้ หรืออาจกล่าวว่าอนุภาคต้องมีพลังงานอย่างต่ำค่าหนึ่งซึ่งเป็นค่ากำหนดความสามารถในการเกิดปฏิกิริยา เรียกพลังงานนี้ว่า พลังงานก่อกัมมันต์ (Activated Energy :Ea) ดังนั้นในความหมายของทฤษฎีนี้ปัจจัยใด ๆ ที่สามารถเพิ่มจำนวนครั้งของการชน หรือเพิ่มพลังงานให้กับอนุภาค จะเป็นการเพิ่มอัตราการเกิดปฏิกิริยา พลังงานก่อกัมมันต์ (Activated Energy : Ea) พลังงานก่อกัมมันต์ คือ พลังงานที่ต่ำสุดที่อนุภาคของสารตั้งต้นจะต้องมีเพื่อให้ชนกันแล้วเกิด ปฏิกิริยาได้ ซึ่งค่าพลังงานก่อกัมมันต์จะขึ้นอยู่กับธรรมชาติของสารตั้งต้น และจะเป็นค่าเฉพาะของแต่ละปฏิกิริยา ปฏิกิริยาที่มีพลังงานก่อกัมมันต์สูงจะเกิดช้า ส่วนปฏิกิริยาที่มีพลังงาน ก่อกัมมันต์ต่ำจะเกิดเร็ว
3. ทฤษฎีแอกติเวเตดคอมเพลกซ์หรือทฤษฎีสภาวะแทรนซิชัน (The Activated Complex Theory or The Transition State Theory) เป็นทฤษฎีที่ดัดแปลงมาจากทฤษฎีการชน โดยทฤษฎีนี้จะกล่าวถึงการชนอย่างมีประสิทธิภาพของสารตั้งต้นในลักษณะที่เหมาะสม โดยจะเกิดเป็นสารประกอบใหม่ชั่วคราว ที่เรียกว่า สารเชิงซ้อนที่ถูกกระตุ้น (Activated Complex) ซึ่งในระหว่างการเกิดสารชนิดนี้พันธะเคมีของสารตั้งต้นจะอ่อนลง และเริ่มมีการสร้างพันธะใหม่ระหว่างคู่อะตอมที่เหมาะสม จนในที่สุดพันธะเก่าจะถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง และจะมีพันธะใหม่ถูกสร้างขึ้นมาแทนที่ โดยสารเชิงซ้อนที่ถูกกระตุ้นนั้น จะอยู่ในภาวะที่ไม่เสถียร ซึ่งอาจจะสลายตัวไปเป็นสารผลิตภัณฑ์ หรืออาจจะเปลี่ยนกลับไปเป็นสารตั้งต้นก็ได้ จึงถือได้ว่าเป็นสารที่มีอายุสั้นมาก
ปฏิกิริยาเคมีจะเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไข 3 ประการ ดังนี้
1. การชนกันของอนุภาคของสารตั้งต้น อนุภาคอาจเป็นโมเลกุล อะตอมหรือไอออนก็ได้ การชนกันที่เหมาะสมของอนุภาคจะทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมี
2. ทิศทางการชน การชนกันของอนุภาคต้องอยู่ในทิศทางที่เหมาะสมเพื่อให้พันธะเก่าสลายตัวและเกิดพันธะใหม่ ปฏิกิริยาจึงจะเกิดขึ้น
3. พลังงาน อนุภาคของสารที่เข้าทำปฏิกิริยาต้องมีพลังงานเพียงพอในการทำให้พันธะเก่าที่ยึดเหนี่ยวอนุภาคไว้เข้าด้วยกันสลายตัวพลังงานนี้ต้องมีค่าอย่างน้อยที่สุดเท่ากับพลังงานก่อกัมมันต์ พลังงานก่อกัมมันต์ (Activation Energy) ย่อด้วย Ea คือ พลังงานที่น้อยที่สุดที่เกิดจากการชนกันของอนุภาคแล้วทำให้เกิดปฏิกิริยา มีหน่วยเป็น KJ/mol หรือ Kcal/mol
ลักษณะสำคัญของพลังงานก่อกัมมันต์
1. ปฏิกิริยาต่อชนิดกับพลังงานก่อกัมมันต์ ต่างกัน
2.. ปฏิกิริยาที่มีค่าพลังงานก่อกัมมันต์ต่ำ จะเกิดปฏิกิริยาง่ายกว่าปฏิกิริยาที่มีพลังงานก่อกัมมันต์สูง
3. พลังงานก่อกัมมันต์ไม่เกี่ยวข้องกับอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี กล่าวคือ ค่าพลังงานก่อกัมมันต์จะสูงหรือต่ำก็ได้เมื่อค่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาต่ำ
4. พลังงานก่อกัมมันต์สูงหรือไม่เกี่ยวข้องกับพลังงานของปฏิกิริยา (DE)
แนวคิดเกี่ยวกับการเกิดปฏิกิริยาเคมี ในการเกิดปฏิกิริยาเคมีสามารถใช้ทฤษฎีอธิบายได้ 2 ทฤษฎี คือ 1.ทฤษฎีการชน (The Collision Theory) ในการเกิดปฏิกิริยาเคมีอนุภาค ของสารตั้งต้น(โมเลกุล อะตอม หรือ ไอออน )ต้องมีการชนกัน แต่การชนทุกครั้งไม่ได้ทำให้เกิดปฏิกิริยาเสมอไป และพบว่าการชนในลักษณะ ที่เหมาะสมและพลังงานการชนที่มีค่าสูงกว่าค่าหนึ่งเสมอที่เรียกว่า พลังงานก่อกัมมันต์(Activation Energy)หรือ Ea จึงจะเป็นการชนที่มีประสิทธิภาพ 2.ทฤษฎีแอกติเวเตด-คอมเพลกซ์(The Activated Complex Theory)หรือ ทฤษฏีสภาวะทรานซิชัน(The Transition State Theory) เป็นผลงานของเฮนรี ไอย์ริง(Henry Eyring) ได้กล่าวถึงการเข้าชนอย่างมีประสิทธิภาพ ของสารตั้งต้นในลักษณะที่เหมาะสมเกิดเป็นสารประกอบใหม่ที่เกิดขึ้น ชั่วคราว เรียกว่า สารเชิงซ้อนถูกกระตุ้น(Activated Complex)แล้วจึงสลายตัวให้ผลิต ภัณฑ์ต่อไป เช่น x + y— (x-----y)# —z ในระหว่างการเกิดสารเชิงซ้อนถูกกระตุ้นนี้ พันธะเคมีของสารเริ่มต้นจะเริ่มคลายออกจากกันและเริ่มมีพันธะเคมีอย่างอ่อนๆ ระหว่างอะตอมคู่ที่เหมาะสม จนเมื่อสารเชิงซ้อนถูกกระตุ้นสลายตัว ให้ผลิตภัณฑ์พันธะเดิมจะถูกทำลายในขณะที่พันธะใหม่ถูกสร้างขึ้น โดยสารเชิงซ้อนถูกกระตุ้นจะอยู่ในสภาวะที่ไม่เสถียรและมีพลังงานสูงมาก เรียกว่าสภาวะทรานซิชัน(Transition State)ดังนั้นอนุภาคของสารตั้งต้นจะ เกิดปฏิกิริยาได้ก็ต้องมีพลังงานอย่างน้อยเท่ากับพลังงานกระตุ้น จึงกล่าวได้ว่าพลังงาน ของสภาวะทรานวิชันเมื่อเปรียบเทียบกับพลังงานของสารตั้งต้นจะมีค่า ประมาณ Ea นั่นเอง หมายเหตุ สารเชิงซ้อนถูกกระตุ้น เป็นแบบจำลองของทฤษฎี และไม่มีเกิดขึ้นจริงในธรรมชาติจึงไม่สามารถตรวจสอบได้
พลังงานกับการดำเนินไปของปฏิกิริยา
1.กรณีที่ปฏิกิริยามีเพียงขั้นตอนเดียว จะมี 2 ประเภท
1.1ปฏิกิริยาดูดพลังงาน (Endothermic Reaction) เป็นปฏิกิริยาที่มีการถ่ายเทพลังงานจากสิ่งแวดล้อมเข้าสู่ระบบ ดังนั้นสารผลิตภัณฑ์จะมีพลังงานสูงกว่าสารตั้งต้น
1.2ปฏิกิริยาคายพลังงาน(Exothermic Reaction)เป็นปฏิกิริยาที่มีการถ่ายเทพลังงานจากระบบไปสู่สิ่งแวดล้อม ดังนั้นสารตั้งต้นจะมีพลังงานสูงกว่าสารผลิตภัณฑ์
2.กรณีปฏิกิริยาเคมีมีหลายขั้นตอน ปฏิกิริยาที่มีหลายขั้นตอนแสดงว่ามีกลไก(mechanism)ของปฏิกิริยาหรือวิธีทางของการเกิดปฏิกิริยามี Ea ได้หลายค่า โดยขั้นที่มีค่า Ea มากที่สุด(ขั้นที่เกิดได้ช้าที่สุด)เป็นขั้นกำหนดอัตรา
ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ได้แก่ ธรรมชาติของสารตั้งต้น ความเข้มข้นของสารตั้งต้น พื้นที่ผิว อุณหภูมิ ตัวเร่งปฏิกิริยาและตัวยับยั้งปฏิกิริยา
.1 ธรรมชาติของสารตั้งต้น : สารตั้งต้นบางชนิดทำปฏิกิริยาได้เร็วแต่บางชนิดทำปฏิกิริยาได้ช้า เช่น แผ่นโลหะทองแดง หรือแผ่นโลหะเงินจะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนได้ช้ามาก แม้ว่าจะใช้เปลวไฟช่วยก็ไม่สามารถทำให้ปฏิกิริยาเกิดเร็วได้ ส่วนแผ่นโลหะแมกนีเซียมสามารถติดไฟได้เร็วมาก หรือฟอสฟอรัสขาวสามารถติดไฟได้เลยในอากาศ เป็นต้น
4.2 ความเข้มข้นของสารตั้งต้น(หรือความดันในกรณีของก๊าซ)การศึกษาผลของความเข้มข้นของสารตั้งต้นที่มีต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาต่างๆทำได้โดยการทดลองวัดอัตราการเกิดปฏิกิริยาที่เวลาเริ่มต้น เรียกว่า อัตราเริ่มต้น (Initial Rate) ในทางปฏิบัติสามารถติดตามความเข้มข้นของสารตั้งต้นของสารตั้งต้นหรือผลิตภัณฑ์ที่เวลาต่างๆแล้วนำมาเขียนกราฟระหว่างความเข้มข้นกับเวลา ในการทดลองเป็นชุดๆโดยแปรผันความเข้มข้นของสารตั้งต้นตัวใดตัวหนึ่ง ขณะที่ความเข้มข้นของสารอื่นๆและสภาวะต่างๆคงที่ ก็สามารถศึกษาความเข้มข้นเริ่มต้น
4.3 พื้นที่ผิว(ขนาดของอนุภาคของแข็ง)ในปฏิกิริยาวิวิธพันธ์(Heterogeneous Reaction)ในปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ที่ของแข็งทำปฏิกิริยากับก๊าซหรือสารละลายนอกจากปัจจัยอื่นๆมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาแล้ว อัตราการเกิดปฏิกิริยายังเป็นสัดส่วนโดยตรงกับพื้นที่ผิวด้วย เนื่องจากปฏิกิริยาชนิดนี้เกิดเฉพาะที่ผิวของวัฏภาคเท่านั้น กล่าวคือถ้าเพิ่มพื้นที่ผิวให้มากขึ้น(ทำให้ขนาดของสารเล็กลงมากๆ)อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเพิ่มสูงขึ้นเช่น เมื่อนำลวดแมกนีเซียมซึ่งเป็นของแข็งทำปฏิกิริยากับสารละลายกรดไฮโดรคลอริกจะเกิดปฏิกิริยาดังสมการMg(s) +2HCl--- >MgCl2(aq) + H2(g)จากปฏิกิริยาถ้าเพิ่มพื้นที่ผิวให้กับลวดแมกนีเซียม(มวลคงที่) เช่น ตัดให้เป็นชิ้นเล็กๆหรือบดให้เป็นผงละเอียดจะมีผลทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเพิ่มขึ้น
4.4 อุณหภูมิ(Temperature)จากการทดลองพบว่าปฎิกิริยาเคมีจำนวนมากมีอัตราการเกิดปฏิกิริยาต่ำที่อุณหภูมิปกติ แต่เมื่อเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนบางครั้งอาจเกิดการระเบิดได้โดยทั่วไปแล้วค่าคงที่อัตราจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่าเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น 10 0c จากปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้จะใช้ทฤษฎีการชนเพียงอย่างเดียวมาอธิบายไม่ได้จะต้องใช้ความรู้เรื่องการกระจายพลังงานจลน์ของก๊าซที่อุณหภูมิต่างๆมาอธิบายด้วยกล่าวคือ เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นจะทำให้จำนวนโมเลกุลของก๊าซที่มีพลังงานจลน์สูงพอที่จะทำให้การชนกันนั้นได้พลังงานสูงเท่ากับหรือมากกว่าพลังงานก่อกัมมันต์เพิ่มมากขึ้น เมื่อจำนวนโมเลกุลที่มีพลังงานมากพอมีจำนวนมากขึ้น การชนกันของโมเลกุลที่เป็นผลสำเร็จก็มีมากขึ้นหรืออัตราการเกิดปฏิกิริยาสูงขึ้นนั่นเอง
4.5 ตัวเร่งและตัวยับยั้งปฏิกิริยาเคมี(Catalyst and Inhibitor) ตัวเร่งปฏิกิริยา(catalyst)คือเป็นสารที่ช่วยเร่งให้ปฏิกิริยาเกิดได้เร็วขึ้นโดยมีส่วนร่วมในการเกิดปฏิกิริยาเคมีด้วยสมอ แต่เมื่อสิ้นสุดปฏิกิริยาหรือสารตั้งต้นเปลี่ยนไปเป็นผลิตภัณฑ์แล้วก็จะได้ตัวเร่งปฏิกิริยากลับคืนมาเท่าเดิม
ตัวยับยั้งปฏิกิริยา(Inhibitor) คือสารที่เมื่อเติมลงไปในปฏิกิริยาแล้วมีผลทำให้เกิดปฏิกิริยาได้ช้าลง หรือหยุดยั้งปฏิกิริยาได้อย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ยังพบว่าตัวยับยั้งปฏิกิริยาไม่เพียงแต่สามารถเปลี่ยนแปลงอัตราการเกิดปฏิกิริยาเท่านั้น แต่ยังสามารถเปลี่ยนองค์ประกอบสมดุลเทอร์โมไดนามิกส์ของระบบได้ด้วย แสดงว่าตัวยับยั้งเองถูกเปลี่ยนแปลงในปฏิกิริยาสุทธิ จึงไม่จัดตัวยับยั้งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาแบบลบ(Negative Catalyst)
ลองเปิดอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากผลงานของรุ่นพี่จากเวปข้างล่างเน้อ
http://74.125.153.132/search?q=cache:VMvIkFlcMA4J:www.lks.ac.th/student/kroo_su/chem20/rate_3.html+%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%B5&cd=27&hl=th&ct=clnk&gl=th